+++ คราวที่แล้ว...ได้ทิ้งท้ายคำถามไว้ว่า ถ้าบริษัท
A, B และ
C รับน้องทำงานใน ตำแหน่งเจ้าหน้าที่จัดซื้อ (Purchasing
Officer) ซึ่งมีการจ่ายค่าตอบแทนแตกต่างกัน...แต่ package รวมเท่ากัน คือ 16,000 บาท (ตามตารางรูปแบบการจ่ายค่าตอบแทน)
คิดว่า...จะตอบรับทำงานกับบริษัทใดดี
( ̄︶ ̄) คำตอบไม่มีถูกหรือผิดค่ะ... ขึ้นอยู่กับเหตุผลและความเหมาะสมกับสภาพการดำรงชีวิตของแต่ละคน...ซึ่งพี่จะอธิบายรูปแบบการจ่ายค่าตอบแทน เงื่อนไขการจ่ายของแต่ละรายการเพื่อเป็นข้อมูลประกอบกับการตัดสินใจที่จะเลือกบริษัทที่จะทำงาน และมุมมองการบริหารจัดการของบริษัท หรือ นายจ้าง A, B และ C ซึ่งนำองค์ประกอบ “ค่าตอบแทน” ได้แก่ 1) ค่าจ้างเงินเดือน 2) ค่าจูงใจ หรือ Wage Incentive ซึ่งเป็นค่าตอบแทนเพื่อจูงใจให้คนทำงาน “อยู่ทน” - “ทำผลงานให้ดีขึ้น” และ 3) ประโยชน์เกื้อกูล หรือ Fringe Benefit เพื่อสนับสนุนให้มีการทำงานดีขึ้น) มา “บริหารจัดการ” คือ วางแผน จัดการระบบ
และ
ควบคุมกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการจ่ายค่าตอบแทนที่เป็นประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมก่อให้เกิดแรงจูงใจให้กับพนักงาน
เพื่อแลกกับผลงานที่พนักงานได้ทำให้กับบริษัท(องค์การ) ดังนั้น บริษัท A, B และ C จึงกำหนดรายการและบริหารค่าตอบแทนแตกต่างกัน
ซึ่งขึ้นอยู่กับประเภทของธุรกิจ และนโยบายในการดำเนินกิจการ เช่น ประเภทผลิตภัณฑ์หรือบริการ
คู่แข่งทางธุรกิจ คุณลักษณะของพนักงานที่ต้องการ สภาพคล่องทางการเงิน เป็นต้น
(.
“”.)o จากตารางรูปแบบการจ่ายเงิน นำมาจัดตามประเภทค่าตอบแทน อธิบายเงื่อนไขการจ่ายค่าตอบแทนแต่ละรายการ รวมทั้ง สรุปเป็นรายได้ที่พนักงานจะได้รับ เพื่อเป็นแนวทางพิจารณาค่าตอบแทนในการทำงาน และ
รายจ่ายที่บริษัทต้องจ่ายค่าตอบแทนรายเดือนเพื่อแชร์ความคิดในการ "บริหารค่าตอบแทน" ดังนี้
●▂● บริษัท A มีรายการค่าตอบแทน 2 รายการ โดยจ่ายเป็นค่าจ้าง และ ค่าประโยชน์เกื้อกูล
คือ เงินเดือน 15,000 บาท (แพงกว่าบริษัท B และ C) และจ่ายค่าพาหนะ 1000
บาท ในงวดเงินเดือน ...ดังนั้น พนักงาน A จะมีรายได้เดือนละ 15,250
บาท โดยบริษัทจ่ายเดือนละ 16,750
บาท
●▂● บริษัท B มีรายการค่าตอบแทน 3 รายการ โดยจ่ายเป็นค่าจ้าง และ ประโยชน์เกื้อกูล 2
รายการ คือ เงินเดือน 14,000 บาท (น้อยกว่า A แต่มากกว่า C) ค่าครองชีพ หรือ COLA 1000 บาท และ เงินประจำตำแหน่ง 1000 บาท ในงวดเงินเดือน
...ดังนั้น
พนักงาน B จะมีรายได้เดือนละ 15,250 บาท โดยบริษัทจ่ายเดือนละ 16,750
บาท
⊙︿⊙ ข้อสังเกต ⊙︿⊙
พนักงานบริษัท A และ B
มีรายได้เดือนละ15,250 บาท เท่ากัน...บริษัท A และ B มีรายจ่ายค่าตอบแทนเดือนละ 16,750 บาท เท่ากัน
●▂● บริษัท C มีรายการค่าตอบแทน 7 รายการ โดยจ่ายเป็น
ค่าจ้าง คือ เงินเดือน 11,000 บาท (น้อยกว่าบริษัท A และ B) ค่าจูงใจ 2 รายการ คือ
กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (ซึ่งบริษัทหักเงินเดือนของพนักงาน และ
บริษัทจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนให้พนักงานทุกๆ เดือน) มีโบนัสเดือนกว่า (13,800
บาท) เงินปันผลกำไร 1,100 บาท
จ่ายสิ้นปีเมื่อบริษัทรับรู้ผลกำไรหรือผลประกอบการ และ ค่าประโยชน์เกื้อกูล 3
รายการ คือ เงินประจำตำแหน่ง 1,100 บาท
เงินช่วยค่าพาหนะ 550 บาท และ ค่าครองชีพ 550 บาท...ดังนั้น พนักงานบริษัท C จะมีรายได้เดือนละ 11,990 บาท และมีรายได้สิ้นปี 14,900 บาท รวมทั้งเงินปันผลจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
⊙︿⊙ ข้อสังเกต⊙︿⊙ :
พนักงานบริษัท C จะได้รับเงินรายเดือนน้อยกว่าบริษัท A และ B…แต่บริษัท C เป็นบริษัทเดียวที่มีการกำหนดเงินจูงใจ โดยจ่ายครั้งเดียวสิ้นปี
คือโบนัสและเงินปันผลกำไร เงินปันผลจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพสิ้นปี
Q: ทำไมบริษัทกำหนดรูปแบบการจ่ายค่าตอบแทนแตกต่างกัน..ทั้งๆ พนักงานของบริษัท A และ B ได้รับรายได้ประจำเดือนเท่ากัน และบริษัทต้องจ่ายค่าตอบแทนประจำเดือนเท่ากัน ทำไมบริษัท C จ่ายเงินเดือนน้อย และกำหนดรายการค่าตอบแทนอื่นๆ มากมาย
...ลองคิด และเราจะมาแชร์ความคิดเห็นคำถามนี้ในครั้งต่อไป "การบริหารค่าตอบแทน"
`°.°.★* *★ .°.°´¯`°.°.★* *★ .°.°´¯`°.°.★* *★ .°.°´¯
ครูพี่ตุ้ม (23-8-59)
#HROD #Consultant